10 เม.ย. 2558

เทคนิค ขับรถเป็นเร็ว ขับรถเก่ง ในเวลาสั้นๆ


การขับรถให้เก่งในระยะเวลาสั้นๆ ขับรถให้เป็นใน 1 อาทิตย์  สามารถทำได้ไม่ยาก  แต่ต้องศึกษาเทคนิคการขับรถให้ถูกวิธีเท่านั้นเอง ซึ่งจะมีทั้งทฤษฎีและปฏิบัติที่ต้องทำควบคู่กัน ฝึกค่อนข้างเข้มข้นแต่ขับเป็นเร็ว ปลอดภัยทั้งต่อตนเองผู้และผู้อื่น

การขับรถให้เป็นค่อนข้างสำคัญ เพราะทุกวันนี้รถราบนท้องถนนเยอะมาก การเรียนรู้วิธีขับรถที่ถูกต้อง ขับให้เป็น และขับให้เก่งด้วยก็จะยิ่งดี ซึ่งจะช่วยลดอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นกับตัวเอง หรือคนอื่นได้


รวมเทคนิคง่ายๆ ในการฝึก ขับรถเป็น ในเวลาสั้นๆ
การขับรถเป็นความจำเป็นที่ต้องเรียนรู้ เพราะชีวิตในปัจจุบันมีความเกี่ยวข้องกับรถอย่างมาก เทคนิคต่างๆ เหล่านี้ จะช่วยให้คุณขับรถเป็นเร็วกว่าที่คิดมาก ตัวอย่างเช่น
1. การศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการขับรถก่อนลงมือปฏิบัติ
2. ศึกษาเกี่ยวกับรถที่จะขับ
3. ลงมือปฏิบัติลองขับจริง

A. การศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการขับรถก่อนลงมือปฏิบัติ
ก่อนลงมือปฏิบัติ ความรู้หรือทฤษฎีเป็นเรื่องสำคัญ จะใช้เครื่องมืออะไรสักอย่าง ก็ควรศึกษาคู่มือการใช้งานก่อน รถยนต์ก็เช่นกัน การลงมือปฏิบัติทันที กว่าจะเป็นมันใช้เวลานาน อาจจะเสียเวลาในการหาข้อมูลไม่นานนัก เพราะข้อมูล เทคนิคต่างๆ มีทั้งบทความในเว็บไซต์ต่างๆ และวิดีโอสอน

การขับรถ ตัวอย่างความรู้ด้านต่างๆ ที่ต้องศึกษา ก่อนลงมือปฏิบัติขับรถจริง
1. ศึกษาวิธีขับรถ เทคนิคการขับแบบต่างๆ
ให้ศึกษาวิธีการขับรถ ทั้งจากบทความในเว็บไซต์ต่างๆ หรือจากวิดีโอใน Youtube พร้อมจดบันทึกและทำตารางฝึกการขับด้วยตนเอง เพื่อจะได้ฝึกตามนั้น ไม่ใช่อ่านทำความเข้าใจอย่างเดียว ซึ่งการฝึกนั้นก็มีท่าการขับแบบต่างๆ เช่น ขับเดินหน้า ขับถอยหลัง ขับเข้าซอง เข้าออกจากซอง ขับถอยจอด ฯลฯ ต้องศึกษาและเตรียมทำแบบฝึกเฉพาะของเรา เพื่อใช้ฝึกจริง เพราะการสอนขับรถโดยคนใกล้ตัว พ่อแม่ พี่น้อง แฟน เพื่อน ฯลฯ น้อยคนจะฝึกแบบเป็นเรื่องเป็นราวจริงๆ เมื่อคิดจะฝึก ครูฝึกสมัครเล่นจะนึกถึงสนามฟุตบอลกว้างๆ แล้วก็พอกันไปฝึกทันที ไม่มีหลักการ กว่าจะขับรถเป็นใช้เวลานาน แถมเปลืองน้ำมันอีกต่างหาก

2. ศึกษากฏจราจร
การศึกษาเกี่ยวกับกฏจราจรจะช่วยให้มีความรู้ในเรื่องกฏหมายที่เกี่ยวกับรถ รู้กฏจราจร ค่าปรับในกรณีต่างๆ มีความรู้เบื้องต้นก่อน จะช่วยให้ไม่ประมาท อย่างน้อยที่สุดก็จะรู้ว่า การขับรถโดยไม่มีใบขับขี่มีโทษอย่างไร ทั้งทางกฏหมายและเรื่องประกันภัยซึ่งจะไม่ได้รับการคุ้มครอง กรณีเกิดอุบัติเหตุ ขณะฝึกขับรถ

3. ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับอุบัติเหตุต่างๆ ที่เกิดกับรถ
การอ่านกรณีศึกษาหรือหาข้อมูลเกี่ยวกับอุบัติเหตุต่างๆ ที่มักจะเกิดบนท้องถนน จะช่วยให้มีประสบการณ์ เมื่อขับรถจริง ก็จะรู้วิเคราะห์สถานการณ์ได้ดี ลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุ เช่น รถชนสัตว์เลี้ยงบนถนน ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นประจำ หากเราศึกษาหาข้อมูลก่อน ก็จะหลีกเลี่ยงโอกาสเกิดอุบัติเหตุได้ไม่ยาก ด้วยการกดแตรเตือนให้สุนัขหรือแมว ที่กำลังเล่นอยู่ข้างทาง รู้ว่ารถกำลังจะวิ่งผ่าน แต่คนส่วนใหญ่ก็ขับผ่านไปตามปกติ ทำให้มีโอกาสชนมากกว่า เพราะสัตว์เหล่านี้ เวลาเล่นกันเพลินๆ บางทีนึกอย่างจะวิ่งข้ามถนน ก็วิ่งออกไปทันที แต่หากบีบแตรให้สัญญาณก่อน ก็ยากจะเกิดอุบัติเหตุ นี่คือกรณีศึกษา ที่จะช่วยให้ขับรถได้ดีขึ้น ขับรถเป็นเร็วขึ้น นั่นเอง


B. การศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับรถที่จะขับ
รู้เขา รู้เรา ทำศึกร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง เช่นเดียวกับรถยนต์ จะขับรถคันไหน ก็ต้องศึกษาระบบของรถให้เข้าใจก่อน ขนาดตัวรถ มิติ วงเลี้ยว ความสมบูรณ์ของตัวรถ ประกันภัยเกี่ยวกับรถ ก็จะช่วยให้รู้ว่าจะต้องขับแบบไหน จึงจะปลอดภัย
1. ทำความรู้จักรถที่จะขับ
รถที่เราจะขับนั้น ต้องทำความรู้จักรถก่อน ขนาดตัวรถ กว้าง ยาว เมื่อจอดนิ่งๆ ตัวรถห่างจากขอบถนน โรงรถ รถคันอื่น มากน้อยแค่ไหน ลองเข้าไปนั่งในรถ ปรับกระจกให้เหมาะสม ดูผ่านกระจก โดยรอบรถ เพื่อเปรียบเทียบกับภายนอกรถที่ได้สำรวจก่อนหน้านั้น ภาพรถในกระจก และภาพจริงที่สำรวจ ห่างกันแต่ไหน

เรื่องนี้สำคัญ จะช่วยให้กะตำแหน่งรถได้ดี เวลาจะออกตัว จอด หรือขับผ่านสิ่งต่างๆ บางคนดูภาพไม่ออก เพราะไม่เคยสังเกตุ ก็ขับเบียดเสาบ้าง รถคันอื่นบ้าง

2. ศึกษาเอกสารเกี่ยวกับรถ ประกันภัย
รถแต่ละคันก็จะมีเอกสารประจำตัว ศึกษาเรื่องภาษี เรื่องประกันภัย โดยเฉพาะประกันภัยนั้นสำคัญมาก รถคันที่จะขับนั้น มีแค่ประกัน พ.ร.บ. กรณีนี้ ไม่ควรฝึกขับ ยอมลงทุนหน่อย ซื้อประกันอย่างน้อยชั้น 3 เพราะหากเกิดอุบัติเหตุ จะต้องเสียค่าซ่อมให้คู่กรณี มันจะไม่คุ้ม อะไรก็เกิดขึ้นได้ หากมีประกันชั้น 1, 2 หรือ 3 ก็ควรศึกษาหาความรู้ว่าแต่ละแบบมีข้อดี ข้อเสียต่างกันอย่างไร

เมื่อรู้ว่ารถตนทำประกันแบบใดไว้ การฝึกขับก็จะไม่ประมาท เรื่องนี้น้อยคนจะรู้ เป็นเรื่องสำคัญมาก ส่วนการฝึกขับรถโดยที่ยังไม่มีใบขับขี่นั้น ควรมีบุคคลใกล้ชิดให้การดูแล และฝึกในสถานที่ที่มีความปลอดภัย ไม่มีรถพลุกพล่าน หากฝึกในหมู่บ้าน อาจเลือกช่วงเวลาที่เงียบๆ เช่น เช้าๆ ไม่มีคน หรือขับรถไปหาที่ฝึกที่ปลอดภัย


C. การลงมือปฏิบัติฝึกขับรถจริง
เมื่อมีความรู้ทางทฤษฎีเกี่ยวกับการขับรถพอสมควรแล้ว ก็ได้เวลาฝึกขับกันจริงๆ ลองของจริง ซึ่งมีหลายวิธีที่จะช่วยให้ขับรถเป็นเร็ว เพราะมีความรู้ในเรื่องหลักการอยู่แล้ว จะขับเดินหน้า ทำอย่างไร ถอยหลังทำอย่างไร เวลาที่ปฏิบัติจริงก็จะเป็นเร็ว

1. ฝึกขับท่าบังคับ ฝึกพื้นฐานให้คล่องก่อน
การฝึกด่านแรกเลย ก็คือการฝึกขับรถเบื้องต้น เพื่อให้เกิดความคุ้นชินกับรถ ชินกับเกียร์ สามารถควบคุมรถเบื้องต้นได้ โดยฝึกตามท่าพื้นฐานในการขับรถ เช่น
- ฝึกขับโดยไม่เน้นทิศทาง อาจฝึกในสนามฟุตบอล หรือตามถนนไปเรื่อยๆ ให้เข้าใจเรื่องเกียร์ และสามารถควบคุมรถเบื้องต้นได้ก่อน จากนั้นจึงฝึกท่าอื่นๆ ต่อไป
- ฝึกขับเดินหน้า
- ฝึกขับถอยหลัง
- ฝึกขับเลี้ยวซ้าย-ขวา
- ฝึกขับเข้าจอดริมฟุตบาท
- ฝึกขับถอยเข้าซอง
- ฝึกการออกจากซอย
- ฝึกการเข้าซอย
- ฝึกการเบรค
- ฝึกการออกตัว

* ให้ศึกษาเทคนิคการขับ จากบทความหรือวิดีโอ แล้วจัดทำแบบฝึกของตนเอง เตรียมอุปกรณ์สำหรับฝึกให้พร้อม 
** การฝึกขับรถที่นิยมสอนกันมาก สำหรับคนส่วนใหญ่ ก็คือให้ฝึกขับในสนามฟุตบอล ขับไปตามถนนที่โล่งๆ การฝึกแบบนั้น เป็นด่านแรก ที่จะช่วยให้ผู้ขับขี่มีความคุ้นเคยกับรถ สามารถควบคุมรถในเบื้องต้นได้ และเมื่อสามารถควบคุมรถได้แล้ว ก็ต้องเปลี่ยนไปฝึกท่าพื้นฐานทันที ไม่เช่นนั้นก็จะขับรถไม่เป็น เป็นแต่ขับไปข้างหน้าอย่างเดียว เลี้ยวซ้าย-ขวาได้เท่านั้น ถอยไม่คล่อง เข้าซองไม่เป็น 

2. ฝึกขับถนนจริง
การฝึกพื้นฐานให้ฝึกควบคู่กับการฝึกขับบนถนนจริงๆ โดยขณะขับนั้น ห้ามเปิดวิทยุ ฟังเพลงไปด้วย ขับไปด้วย หรือกิจกรรมอื่นก็ห้ามทำ มือใหม่หลายคนพอเริ่มเป็นแล้ว มักจะชอบโชว์ความเก่ง ว่าตัวเองขับเป็นเร็วนะ ประมาทแบบนั้นไม่ดี

การฝึกขับในถนนจริง ให้ฝึกสายตา ฝึกอ่านเหตุการณ์ วิเคราะห์สถานการณ์ เช่น ฝึกมองกระจกหน้า ดูระยะห่างรถข้างหน้า เบรคเอาอยู่หรือไม่ ปลอดภัยหรือไม่ ดูสัตว์เลี้ยงข้างถนน รถเล็กจักรยาน มอเตอร์ไซด์ เหลือบกระจกมองข้างซ้าย-ขวา กระจกส่งหลัง และหน้าปัทม์รถเป็นระยะๆ เพื่อดูว่ามีอะไรมาใกล้รถบ้าง การดูกระจกมองข้าง ต้องดูให้รู้ว่า ตัวรถอย่างห่างขอบถนนมากแค่ไหน

การฝึกขับแบบนี้จะค่อนข้างเหนื่อย เพราะต้องวิเคราะห์เหตุการณ์ตลอดเวลา ดูข้างหน้า มีอะไร เหลือบดูกระจกข้างซ้าย-ขวา กระจกหลังตลอดเวลา แทบจะทุกวินาที ยิ่งรถมาก ก็ยิ่งเหลือบดูบ่อย เหนื่อยและเครียด แต่จะช่วยให้ขับรถเป็นเร็วมาก ลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุกับตนเองได้ เช่น เห็นสัตว์เลี้ยงอยู่ข้างทาง สุนัข แมว ต้องคิดไว้ก่อนเลยว่า มันจะต้องวิ่งข้ามถนน ดังนั้น บีบแตร ปี๊นๆ เตือนให้มันรู้ก่อน ก็ยากจะเกิดอุบัติเหตุ เพราะการชนสัตว์พวกนี้ ไปเรียกร้องเอาอะไรกับใครไม่ได้ ต้องซ่อมเอง นอกเสียจากรถจะมีประกันที่คุ้มครอง

3.การเรียนขับรถกับโรงเรียนสอนขับรถโดยตรง
เมื่อฝึกพื้นฐานอย่างดีแล้ว การไปลงเรียนกับโรงเรียนขับรถโดยตรง จะช่วยให้เป็นเร็วมากขึ้น ซึ่งมีหลายหลักสูตร แนะนำให้เลือกหลักสูตรที่พาขับออกถนนใหญ่ จะได้ทดลองของจริง ถนนจริง เพราะไม่คุ้มกับการพารถตัวเองไปลองจริงๆ แถมหากเกิดชนขึ้นมา ก็มีแต่เสียกับเสีย เพราะผู้ขับไม่มีใบขับขี่ บริษัทประกันไม่รับผิดชอบ ไม่ให้ความคุ้มครองในกรณีนี้


สรุป
การ ขับรถ หากฝึกตามนี้ รับรองเป็นเร็วแน่นอน โดยเฉพาะการหมั่นสังเกตุและวิเคราะห์ลักษณะการขับรถของตัวเอง หาข้อมูลหาเทคนิค จะช่วยให้ขับรถเป็น ขับอย่างปลอดภัยไม่ใช่ สักแต่ขับ ซึ่งมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุได้ รถนั้นไม่ต่างจากอาวุธทำลายล้าง หากอยู่ในมือคนที่ขับไม่เป็น ประมาท อุบัติเหตุอาจจะไม่ใช่แค่ 9 ศพ อาจจะเป็นนับสิบศพ หากไปชนรถบัสตกเหว (คนขับตกใจหักหลบ) เมื่อเกิดอุบัติเหตุ จะมีโอกาสสร้างความเสียหายได้มาก เพราะรถเป็นพาหนะขนาดใหญ่และมีความเฉื่อยทำให้มีแรกกระแทกรุนแรง ดังนั้น การขับรถเป็น จึงเป็นเรื่องสำคัญ ที่ต้องสอนลูกหลานคนใกล้ตัวให้เข้าใจ ก่อนจะขับรถ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น